ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ในการทำงานทุกอย่างต้องมีความกดดัน แต่ความกดดันนั้นอาจจะกลายเป็นเรื่องสุดท็อกซิกได้ หากมีมากเกินไป และได้รับผลกระทบโดยตรงจากคนที่เป็นหัวหน้า ซึ่งล่าสุด 31 ตุลาคม 2567 ในโลกออนไลน์ได้มีการเผยถึงแชตของเภสัชกรโรงพยาบาลดังคนหนึ่ง ที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง หลังจากที่พบหัวหน้างานกดดันให้ลาออก เพราะเรื่องการขายเวรมากเกินไป
เปิดแชต เภสัชกร จบชีวิตตัวเอง หัวหน้าพูดดี แต่เหมือนเป็นการบีบให้ไปทำงานอื่นกลาย ๆ
ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว เผยว่า เภสัชกรคนหนึ่งจากโรงพยาบาลชื่อดัง และอดีตศิษย์เก่า ม.ขอนแก่น ได้ก่อเหตุฆ่าตัวตาย หลังจากที่เผชิญกับความกดดันในที่ทำงาน โดยเฉพาะจากคนที่เป็นหัวหน้างาน
โดยที่พบว่า ได้มีแชตจากหัวหน้างานที่ส่งมาให้เภสัชกรคนนี้ นับตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 โดยในช่วงแรก เหมือนกับว่าหัวหน้าจะยื่นข้อเสนอให้เภสัชกรไปทำงานในคลังยา เพราะหัวหน้าเห็นว่าเภสัชกรขายเวรให้เพื่อนมากเกินไป หากทำงานที่คลังยาจะเป็นเวรสั้น ไม่มีกะดึก มีวันหยุดที่แน่นอนกว่า และจะได้ไม่ลำบากใจที่ต้องมาเป็นลูกน้อง แต่ทางเภสัชกรได้ขอโทษ และบอกว่าเรื่องขายเวรนั้น ได้คุยกับที่รับซื้อเวรไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ได้มีการขายเวรเพิ่ม หรือติดต่อไปขายเวรเพิ่มแต่อย่างใด แต่ทางหัวหน้าบอกว่า "ไม่เกี่ยวกับการขายเวรครับ"
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
ในอีกแชตหนึ่ง หัวหน้าก็พูดประเด็นเรื่องการขายเวรอีก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การบอกให้เภสัชกรย้ายไปทำงานอื่น แต่เป็นการบอกให้ลาออก ซึ่งหัวหน้างานบอกว่าเป็นห่วง ไปพักผ่อนจิตใจดีกว่า การฝืนอยู่ไม่ช่วยอะไร ถ้าต้องขายเวรขนาดนี้ ให้พักผ่อนจิตใจให้มีความสุขจะดีกว่า สงสารคนอื่น ๆ ที่ต้องมารับเวรแทน และเภสัชกรก็ดูไม่มีใจจะทำงานแล้ว หรือถ้าไม่อยากทำงานนี้แล้ว จะลาไปเที่ยวหรือพักผ่อนจิตใจดูก็ได้ ดีกว่าที่จะต้องฝืนมาทำงานแบบนี้ และเภสัชกรก็ตอบในเรื่องลาออกว่า ตอนนี้ตนยังไม่พร้อมไป ตนอยู่เวรดึกได้ แต่เผื่อมีคนสนใจ และตนจะรับเรื่องนี้ไปพิจารณาต่อไป
และในอีกแชต ก็ดูเหมือนว่าหัวหน้างานจะไม่พอใจเภสัชกรเรื่องตารางเวร โดยเฉพาะเรื่องวันหยุดของเภสัชกร และการขายเวร ทำให้หัวหน้างานตำหนิเภสัชกรว่า "จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลง เธอมีสิทธิ์ตรงไหนมาจัดการ เธอเป็นหัวหน้าพี่เหรอ เป็นหน้าที่ของพี่ หรือหน้าที่ของเธอ ถ้าทำงานไม่ได้ ลาออกได้นะครับ ประวัติการทำงานจะได้ไม่เสีย" ซึ่งดูเหมือนว่านี่จะเป็นการตำหนิการทำงานในกรุ๊ปไลน์ใหญ่
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
เปิดแชต เภสัชกร จบชีวิตตัวเอง โดนกดดันให้ลาออกกลางที่ไลน์ ด่าเห็นแก่ตัว
ในขณะที่เฟซบุ๊ก Phuri Phatara ซึ่งสนิทกับเภสัชกรที่เสียชีวิต ได้เผยอีกแชตที่พบว่า ทางเภสัชกรโดนหัวหน้ากดดันให้ลาออก อันเนื่องมาจากการที่เภสัชกรต้องการที่จะขายเวร 17.00-21.00 น. และเมื่อหัวหน้ามาเห็นแชต ก็บอกเภสัชกรว่า ไปทำงานออฟฟิศหรืองานร้านขายยาดีกว่าไหม ดูจะเป็นทางเลือกที่โอเคมากกว่า การขอเวรดึกในตารางเอาไว้ เพื่อเอาสิทธิ์วันหยุด แล้วเอาเวรดึกไปปล่อยให้คนอื่น แต่วันหยุดตัวเองก็ยังคงได้เหมือนเดิม ดูจะเป็นการ "เห็นแก่ตัว"
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
นอกจากนี้ ยังมีอีกคนที่อยู่ในแชต ที่แนะนำแนวทางเกี่ยวกับเรื่องการลงเวรไว้ว่า ในแต่ละเดือน ทุกคนจะได้มีวันหยุดคนละ 8 วัน แต่สลับวันหยุดกันไป จึงขอแนะนำว่า แต่ละคนก็มีแพลนสำคัญอยู่แล้ว 3-4 วัน ถ้าทุกคนมีสิทธิ์ที่ไม่ต้องโดนบังคับลงเวรเดือนละ 3-4 วัน ก็น่าจะช่วยในเรื่องการจัดการวันหยุดได้ง่าย โดยที่ทุกคนลงวันหยุด 8 วัน ขอล็อกวันหยุดได้ 3 วัน วันอื่นเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าวันหยุดชนกัน ต้องบังคับลงเวร ก็เลือกจับคนที่ไม่ได้ล็อกวันหยุดเอาไว้
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
จากนั้นหัวหน้าก็ได้ลงภาพตารางเวร และมีข้อความว่า "พรุ่งนี้เช้าไปลาออกเถอะนะ พี่ว่าเราทำงานร่วมกันไม่ได้" "ถ้าทำงานตามระบบมันยาก แล้วมันจะดิ้นตาย พี่ไม่เคยพูดเล่นนะ ไปลาออกเถอะ"
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว
คำสั่งลาสุดท้าย เภสัชกร แค่คิดว่าจะไปทำงานก็เหนื่อยแล้ว - เผย ทำไมสลับเวรใน รพ. ถึงเรื่องใหญ่ขนาดนั้น
สุดท้าย ทางเภสัชกรได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ก่อนที่จะเสียชีวิตนั้น เขาได้ลงข้อความสุดท้ายไว้ว่า ขอบคุณทุกคนที่ได้ใช้เวลาด้วยกันมา ทุกความทรงจำมีค่า และขอโทษถ้ายังติดค้างใครอยู่ ตนขอบคุณที่เคยช่วยเหลือเรามาตลอด เราทำตัวเอง เราเห็นแก่ตัว อยากไปแบบมีความสุขตอนนี้ แค่คิดว่าการที่ต้องไปทำงานและเจอหน้าคนที่ไม่เคยเห็นค่าก็เหนื่อยแล้ว ไลน์ที่ทำงานก็ Toxic จะไปต่อก็มีปัญหาหลายอย่าง สุดท้ายเราแค่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม ไม่มีจุดหมาย
เภสัชกรได้ขอบคุณและขอโทษพ่อแม่ และขอให้ทุกคนดูแลตัวเองกันด้วย ก่อนที่จะลงท้ายว่า "อโหสิกรรมให้เราหน่อยนะ เจอกันใหม่ชาติหน้า"
ในขณะที่สาเหตุที่ทางเภสัชกรไม่ยอมลาออก แม้ว่าจะโดนกดดันจากหัวหน้ามากขนาดนี้ และแม้ว่าคนรอบข้างจะแนะนำให้เภสัชกรลาออก เพราะรู้ว่าสภาพการทำงานไม่ดี เพราะทางเภสัชกรต้องการพิสูจน์ตัวเอง และทำให้เห็นว่าสามารถเอาชนะเรื่องนี้ได้ แต่สุดท้ายทางเภสัชกรก็รับไม่ไหว ยิ่งเห็นผู้บังคับบัญชากดดันให้ลาออก ก็ยิ่งหมดกำลังใจ ไม่อยากตื่นไปเจอกับสภาพแวดล้อมแบบนี้
ด้านหลายคนก็แห่เปิดวาร์ปและออกมาตำหนิถึงการทำงานของหัวหน้า ที่แม้จะเหมือนว่าเสนอทางเลือกให้ไปทำงานอย่างอื่น และในช่วงแรกก็ใช้คำพูดที่ไม่ได้รุนแรง แต่ก็ดูจะมีความกดดันอยู่กลาย ๆ จนสุดท้ายหัวหน้าก็กดดันให้ลูกน้องลาออก และตำหนิรุนแรงกลางกรุ๊ปไลน์ใหญ่ ยิ่งสุมไฟให้เกิดความรุนแรงอีก หัวหน้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม ไม่มีความเป็นผู้นำเลยแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกัน ก็มีบางความเห็นของคนที่เป็นเภสัชกรออกมาบอกว่า แม้การที่ลูกน้องขายเวรจะไม่ใช่เรื่องผิด และเป็นสิทธิ์ที่จะทำได้ แต่บางโรงพยาบาลจะมีกฎเรื่องชั่วโมงการทำงานขั้นต่ำเอาไว้ หากจะหยุด ก็ต้องดูว่าลาเยอะไหม และขายเวรให้ใคร พาร์ตไทม์หรือฟูลไทม์ หากขายเวรให้พนักงานฟูลไทม์หยุดติดกันหลายวัน จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและการดูแลคนไข้ที่จะลดลง จากการพักผ่อนน้อยของทุกคน
ปกติแล้ว โรงพยาบาลจะจ้างงานตามจำนวนคนไข้ และกระจายงานและวันหยุดออกไปตามศักยภาพและเภสัชกรจะรู้ว่า เภสัชกรในห้องยามักจะไม่พอ หากมีใครสักคนที่หยุดเกินโควตา จะส่งผลอันตรายต่อคนไข้แน่นอน และนี่จึงอาจจะเป็นสาเหตุที่หัวหน้าโกรธ
และต่อให้มีคนยอมรับซื้อเวรต่อ แต่คนที่รับซื้อเวรไป ก็อาจจะไม่พอใจ ไปบ่นลับหลังกับหัวหน้าหรือเปล่า หรือยอมรับเวรให้เพราะเกรงใจ รับเพราะกลัวว่าถ้าตัวเองจะขายเวรบ้าง จะไม่มีคนรับซื้อ หรือรับซื้อเวรเพราะเป็นรุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามา ไม่กล้าปฏิเสธรุ่นพี่ เรื่องนี้ไม่รู้ข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าก็ทำเกินเหตุที่มีการตำหนิลูกน้องลงกลุ่ม ไม่ว่าเภสัชกรจะมีภาวะซึมเศร้าหรือไม่ ก็ไม่ควรทำ เพราะอาจทำให้เข้าหน้ากับเพื่อนไม่ได้ เรื่องนี้จึงเป็นอุทาหรณ์ในการบริหารจัดการของหัวหน้า และการเลือกวิธีการบริหารคน พูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผลดีกว่าจะที่จะใช้ความโกรธ