หญิงโอด เสียใจที่เรียนจบสูง ชี้ทุ่มเวลานับสิบปีเรียนต่อจนจบ ป.เอก สุดท้ายหางานทำไม่ได้มา 4 ปี แถมต้องแบกหนี้อีก 8.3 ล้าน ฝากเป็นเรื่องเตือนใจ ยังมีสิ่งสำคัญกว่าการจบสูง
ในขณะที่การเรียนต่อในระดับสูงเป็นเป้าหมายของใครหลาย ๆ คน แต่สำหรับหญิงอเมริกันรายหนึ่งที่ทุ่มเทเวลานับสิบปีในรั้วมหาวิทยาลัยเพื่อคว้าปริญญาเอกมาครอง กลับต้องรู้สึกว่าเส้นทางการศึกษาที่ผ่านมานั้นเป็นทั้งคำอวยพรและคำสาป เพราะแม้เธอจะเรียนสูงขนาดนี้ แต่กลับต้องตกที่นั่งลำบากในด้านการหางาน จนต้องอยู่ในสภาพกึ่งตกงานมานานถึง 4 ปี ได้แต่พึ่งงานพาร์ตไทม์เพื่อหาเลี้ยงชีพไปวัน ๆ
เรื่องราวของหญิงรายนี้ได้รับการเปิดเผยจากเว็บไซต์ Daily Mail และ Business Insider เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 โดยหญิงวัย 38 ปี ซึ่งใช้นามแฝงว่า เอ. ราสเบอร์รี่ เล่าว่า หลังจากใช้เวลาไปมากมายกับการไขว่คว้าปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก สาขาบริหารจัดการธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเซนต์ลีโอ ในรัฐฟลอริดา ตอนนี้เธอกลับรู้สีกเสียใจอย่างมาก เพราะไม่เพียงแค่เธอจะมีช่วงเวลาที่แสนลำบากในการหางาน แต่ยังต้องแบกรับหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษาอีก 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.3 ล้านบาท)
"ฉันจบปริญญาเอกตั้งแต่ปี 2563 และก็ยังไม่สามารถหางานเพื่อเลี้ยงชีพได้" เอ. ราสเบอร์รี่ เผย พร้อมเล่าว่า หลังเรียนจบปริญญาเอก เธอได้ยื่นสมัครงานในตำแหน่งบริหารจัดการธุรกิจกับบริษัทต่าง ๆ แต่ก็ไม่สามารถหางานได้เลย แม้จะยอมขยายขอบเขตการหางานไปยังตำแหน่งอื่น ๆ เช่น ทรัพยากรมนุษย์ บัญชี หรือแม้แต่งานติวเตอร์ แต่เธอก็ไร้โชค
การหางานเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเธอ เธอแทบไม่ถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ หรือต่อให้ได้เข้าสัมภาษณ์งาน ก็ยังถูกปฏิเสธ เธอเฝ้าแต่หาคำตอบว่าตัวเองทำพลาดไปตรงไหน แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าอุปสรรคที่สำคัญที่สุดของเธอก็คือ "การขาดประสบการณ์ในการทำงาน"
เรื่องราวของหญิงรายนี้ได้รับการเปิดเผยจากเว็บไซต์ Daily Mail และ Business Insider เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 โดยหญิงวัย 38 ปี ซึ่งใช้นามแฝงว่า เอ. ราสเบอร์รี่ เล่าว่า หลังจากใช้เวลาไปมากมายกับการไขว่คว้าปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก สาขาบริหารจัดการธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเซนต์ลีโอ ในรัฐฟลอริดา ตอนนี้เธอกลับรู้สีกเสียใจอย่างมาก เพราะไม่เพียงแค่เธอจะมีช่วงเวลาที่แสนลำบากในการหางาน แต่ยังต้องแบกรับหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษาอีก 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.3 ล้านบาท)
"ฉันจบปริญญาเอกตั้งแต่ปี 2563 และก็ยังไม่สามารถหางานเพื่อเลี้ยงชีพได้" เอ. ราสเบอร์รี่ เผย พร้อมเล่าว่า หลังเรียนจบปริญญาเอก เธอได้ยื่นสมัครงานในตำแหน่งบริหารจัดการธุรกิจกับบริษัทต่าง ๆ แต่ก็ไม่สามารถหางานได้เลย แม้จะยอมขยายขอบเขตการหางานไปยังตำแหน่งอื่น ๆ เช่น ทรัพยากรมนุษย์ บัญชี หรือแม้แต่งานติวเตอร์ แต่เธอก็ไร้โชค
การหางานเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเธอ เธอแทบไม่ถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ หรือต่อให้ได้เข้าสัมภาษณ์งาน ก็ยังถูกปฏิเสธ เธอเฝ้าแต่หาคำตอบว่าตัวเองทำพลาดไปตรงไหน แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าอุปสรรคที่สำคัญที่สุดของเธอก็คือ "การขาดประสบการณ์ในการทำงาน"
"ฉันมีคุณสมบัติมากเกินไปสำหรับตำแหน่งเริ่มต้นส่วนใหญ่ แต่ยังมีคุณสมบัติไม่พอสำหรับตำแหน่งบริหารหรือผู้นำ ท้ายที่สุดแล้วปริญญาของฉันเป็นทั้งคำอวยพรและคำสาป"
เอ. ราสเบอร์รี่ ยอมรับว่า เป้าหมายดั้งเดิมของเธอคือการคว้าตำแหน่งศาสตราจารย์ ทำงานในแวดวงการศึกษา แต่เมื่อได้คุยกับคนในวงการจริง ๆ และรับรู้ว่าการเริ่มต้นในสาขานั้นยากแค่ไหน เธอก็ตัดสินใจเปลี่ยนแนวทางมาหางานตามบริษัทต่าง ๆ แทน แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ สุดท้ายเพื่อที่จะให้มีเงินเลี้ยงปากท้อง เธอจำเป็นต้องไปทำงานพาร์ตไทม์หลาย ๆ อย่าง รวมถึงหันมาทำงานด้านการพยาบาลแทน
"ฉันคิดว่าการศึกษาคือหนทางสู่อิสรภาพทางการเงิน แต่ฉันคิดผิด" เอ. ราสเบอร์รี่ ยอมรับ โดยชี้ว่าเธอต้องดิ้นรนทำงานต่าง ๆ เพื่อเลี้ยงชีพ และเพื่อให้มีเงินพอสำหรับจ่ายค่าเช่า ค่าไฟ ค่าน้ำมัน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็น ในการอาศัยอยู่ที่รัฐซึ่งมีค่าครองชีพแพงเป็นอันดับที่ 13 ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เธอได้ให้คำแนะนำแก่คนอื่น ๆ ว่า ควรเห็นคุณค่าของปริญญาตรีให้มากขึ้น และใช้มันเพื่อหางานก็เพียงพอแล้ว ซึ่งหากเธอได้เรียนรู้เรื่องที่องค์กรส่วนมากต้องการประสบการณ์มากกว่าการศึกษาตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องเสียเวลาหลายปีในมหาวิทยาลัย
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่คนจากรุ่มมิลเลเนียนหลายคน จบลงด้วยการมีคุณสมบัติเกินตำแหน่งที่ต้องการสมัคร แต่ค่านิยมในกลุ่มคนเจน Z กลับเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีข้อมูลบ่งชี่ว่ามีคนเจน Z จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เลือกจะไม่เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา และหันไปหาความรู้ตามสถาบันอาชีพต่าง ๆ แทน โดยหวังจะได้รับงานที่มีค่าจ้างสูงขึ้น และไม่ต้องจมกับภาระหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
โดยคนรุ่นใหม่ที่เติบโตในช่วงยุคโควิด ยอมรับว่า พวกเขาถูกฉุดรั้งจากการเรียน 4 ปีในมหาวิทยาลัย ด้วยค่าเทอมที่สูง กับโอกาสที่จะต้องกู้ยืมเพื่อการศึกษา ในทางกลับกัน พวกเขาเลือกจะไปโรงเรียนอาชีวะแทนเพราะมีโอกาสจ้างงานสูงกว่า และมีงานที่น่าพอใจรออยู่
อนึ่ง เป็นเวลาช่วงเวลาหลายปีแล้วที่ชาวอเมริกันสูญเสียความเชื่อมั่นในคุณค่าของปริญญา โดยหลายคนมองว่า พวกเขาไม่แน่ใจว่าค่าใช้จ่ายในด้านการศึกษานั้นเป็นสิ่งที่คุ้มแล้วหรือไม่
ขอบคุณข้อมูลจาก Daily Mail, Business Insider