ผอ.รพ. ดังนนทบุรี ลั่น ไม่ได้เล่น BDSM เป็นชู้กับพยาบาลจนบ้านแตก นึกว่าเธอเลิกกับผัวไปแล้ว

          ผอ.รพ. เปิดใจ หลังหนุ่มแฉเป็นตัวการบ้านแตก ยันไม่รู้ว่าเป็นชู้ ชี้พยาบาลบอกเลิกกับผัวแล้ว แจงปมซาดิสม์จริงหรือไม่


          จากกรณี สามีวัย 30 ออกมาร้องทุกข์หลังชีวิตคู่เกิดปัญหา ภรรยาที่เป็นพยาบาล ซึ่งมีลูกด้วยกัน 1 คน แต่ต่อมากลับจับได้ว่าฝ่ายหญิงแอบไปเล่นชู้กับ ผอ. โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี แบบมีเซ็กส์ซาดิสม์ โดยหลังถูกจับได้ทางฝ่ายหญิงทำท่าทีไม่อยากเลิกกับชู้และขออยู่กันแบบ 3 คน ขณะทาง ผอ. โดนสั่งย้ายไปช่วยราชการที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี และถูกตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง

อ่านข่าว : ผัวช็อกด้านมืดเมีย เล่นชู้กับ ผอ.รพ. ดังนนทบุรี ติดใจความซาดิสม์ BDSM มีลูกแล้วยังไม่เว้น

อ่านข่าว : ผอ. แจงแล้ว ! ไม่รู้พยาบาลมีสามี โต้ซาดิสม์ ชี้อุปกรณ์ใช้ตกแต่ง-ฝ่ายหญิงเรียกร้อง


          เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 2 กรกฎาคม 2567 Hfocus รายงานว่า ผอ. โรงพยาบาลที่ถูกกล่าวหา แถลงข่าวเปิดใจเป็นครั้งแรก ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เป็นชู้กับใคร แต่ที่ผ่านมาตนไม่เคยทราบว่าฝ่ายหญิงมีสามีอยู่แล้ว ทราบเพียงว่าเคยมีลูก มีสามี แต่เลิกกันไปแล้ว ซึ่งตนมองว่าเรื่องนี้เป็นเพียงอดีตเท่านั้น จึงมีการพูดคุยกันมา นี่เป็นความบริสุทธิ์ใจ ที่ตนทราบมีเพียงเท่านี้จริง ๆ

          ส่วนรสนิยมทางเพศก็ขอยืนยันว่า ตนไม่ได้นิยมซาดิสม์ แต่ที่ผ่านมาตนต้องทนกับกระแสสังคมต่อว่ามาตลอด ส่วนตัวที่ตัวเองถูกกระทำนั้นมองว่าไม่เป็นอะไร เพราะคิดแค่ว่าตนเองไม่ทราบจริง ๆ แต่เป็นกังวลที่ครอบครัวของตนและเกี่ยวข้อง ต้องเดือดร้อนไปด้วย


          ตอนนี้ ตนยังมีการพูดคุยกับทางพยาบาลสาวอยู่ คุยกันไปก่อน ยังไม่ถึงขั้นว่าจะต้องเป็นสามี ภรรยากันหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญคือต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้จบก่อน หากยังค้างคาอยู่คงไปต่อกันไม่ได้ ส่วนเรื่องที่คู่กรณีกล่าวหาถึงนั้น ตอนนี้ตนกำลังปรึกษาทนายความอยู่ ดูว่าอะไรที่ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง ว่าไปตามข้อเท็จจริง แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่า จะดำเนินการฟ้องร้องหรือไม่

          ตนขอยืนยันว่า ตนไม่ได้เป็นชู้ เพราะตนไม่ได้รับทราบเลย มันไม่ยุติธรรมกับตน ที่บอกว่าตนซาดิสม์ ก็ไม่เคยทำมาก่อนตลอดอายุ 40 ปี จึงคิดว่าไม่ยุติธรรม ทำให้ต้องทนอยู่กับกระแสเหล่านี้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะตนผิดพลาดเอง


          ด้าน นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการเชิญทุกฝ่ายมาพูดคุยกัน ประเด็นเรื่องเป็นชู้นั้นจะเข้าข่ายคือต้องมีการจดทะเบียนสมรส ส่วนจะมีการฟ้องร้องกันหรือไม่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของสองฝ่าย เท่าที่ฟังพยาบาลสาวให้ข้อมูลว่า ได้เลิกกับสามีไปแล้ว โดยขอเลิกหลายครั้ง เพราะสามีมีปัญหากันหลายเรื่อง ทั้งการติดเกม พอบอกเลิกชายคนดังกล่าวก็จะแสดงความโมโห ขับรถเร็วจนเกิดความกลัว

          เรื่องความสัมพันธ์กับ ผอ.รพ.สต. นั้น มีการทำความรู้จักกัน มีความสัมพันธ์กัน 4 ครั้ง โดย 2 ครั้งหลัง มีการใช้อุปกรณ์เพื่อสร้างบรรยากาศ ความตื่นเต้นเท่านั้นแล้วจบไป เมื่อดูตามร่างกายฝ่ายผู้หญิง เท่าที่ดูได้ก็ไม่ปรากฏร่องรอยการถูกทำร้ายแต่อย่างใด ดังนั้นทั้ง 2 แสดงความบริสุทธิ์ใจ นอกจากนี้ฝ่ายหญิงยังยืนยันว่า ที่ผ่านมาตนเป็นคนดูแลตัวเองดูแลของใช้และซักเสื้อผ้าเองมาตลอด กระทั่งช่วงหลังที่แสดงความชัดเจนว่า ไม่อยู่ร่วมกับฝ่ายชายแล้ว ถึงได้มาซักเสื้อผ้าให้ หรือทำอะไรอื่น ๆ ให้ จึงเห็นว่ามีเทียนติดตามเสื้อผ้า แต่ก็ไม่ได้สนใจ เพราะไม่ได้จะเปิดเผย

          เรื่องนี้ที่ตนออกมาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ไม่เกี่ยวกับผลที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงระดับจังหวัดจะตัดสิน หากพบมีความผิดก็จะมีการลงโทษตามขั้นความผิดอยู่แล้ว ย้ำว่าเรื่องทางวินัยก็เป็นเรื่องวินัย ส่วนเรื่องคดีก็เป็นเรื่องที่แต่ละฝ่ายมีข้อมูล ถ้าฝ่ายชายบอกว่า เสียหายก็มีสิทธิดำเนินคดี เช่นเดียวกับฝ่าย ผอ. ถ้ารู้สึกว่าถูกละเมิดสิทธิก็สามารถใช้สิทธิทางศาลได้เช่นเดียวกัน ต่างคนต่างมีข้อมูล

ขอบคุณข้อมูลจาก hfocus